#HYH? Picks: Top 10 RIDE’s songs by Tat Bunnag
Tat Bunnag แนะนำ 10 เพลง RIDE วง shoegaze ยุค 90s
เหมือนกับหลายคนที่เป็นวัยรุ่นที่โตมาในยุค 90s วงดนตรีที่ชื่อว่า Ride เป็นหนึ่งวงที่อยู่ในความทรงจำและรู้สึกผูกพันธ์กับดนตรีของทางวงมาโดยตลอด ผมรู้จัก Ride ครั้งแรกเมื่อช่วงประมาณปี 1992 ซึ่งเวลานั้นยังเป็นยุคสมัยที่โลกเรายังไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้กันแพร่หลาย ซึ่งจะว่าไปแล้วการเข้าถึงดนตรีแนวทางเลือก (Alternative) ต่างๆของฝั่งอังกฤษโดยเฉพาะในบ้านเราค่อนข้างเป็นเรื่องยาก เพราะสมัยนั้นยังไม่ค่อยมีสื่อเขียนถึงวงการดนตรีอินดี้ ยังไม่มี MTV, Channel V เพลงส่วนใหญ่ที่ถูกเปิดตามรายการวิทยุก็มักจะตามชาร์ตเพลง UK Single Top 40 ซึ่งมักจะเป็นเพลงป็อบ และยูโรแดนซ์ซะส่วนใหญ่ ส่วนแม็กกาซีนเพลงในตำนานของบ้านเราอย่าง Generation Terrorists ก็ยังไม่ถือกำเนิดขึ้น
ดังนั้นผมเป็นอีกหนึ่งคนในสมัยนั้นที่เดินเข้าร้านเทปร้านซีดีและตัดสินใจเลือกอัลบั้มต่างๆโดยสุ่มเลือกจากอาร์ตเวิร์คของปกอัลบั้มเอา บางครั้งถ้าเลือกถูกก็โชคดีได้เจอวงดีๆไป แต่ก็ก็มีหลายครั้งที่เลือกผิดพลาดได้วง hardrock, hair metal กลับมาฟังบ้านแทน
แต่หลังจากกลับไปถึงบ้านและลองเปิดฟังอัลบั้ม Going Blank Again เป็นครั้งแรก จำได้ว่าผมรู้สึกแปลกใจในทิศทางดนตรีของ Ride เพราะมันฟังไม่ค่อยเหมือนซาวด์ของวง shoegaze อื่นๆที่ผมเคยฟังมาก่อนสักเท่าไหร่ ดนตรีเค้าไม่มีความอื้ออึง ไม่มี layer ของเอฟเฟ็คกีตาร์แบบ My Bloody Valantine ที่ผมมองหาจากดนตรีแนวนี้อยู่สักเท่าไหร่ บางทีฟังออกจะเหมือนวงที่ได้รับอิทธิพลมาจากพวก jangle pop indie มามากกว่าด้วยซ้ำ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อฟังไปเรื่อยๆ ผมก็รู้สึกถึงเสน่ห์ในดนตรีของ Ride แบบที่วงดนตรีอินดี้อื่นๆในยุคเดียวกันไม่มีให้เช่นเดียวกัน
หลังจากนั้นผมจึงกลายเป็นแฟนเพลงตัวยงอีกคนนึงของ Ride และออกไปตามหาฟังอัลบั้มและอีพีในยุคแรกๆของวง รวมไปถึงติดตามการออกอัลบั้มใหม่ๆของทางหลังจากนั้นไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันที่ Ride ประกาศยุบวงไปในช่วงก่อนปี 1996 ซึ่งเป็นช่วงของกระแส Britpop มาแทนที่พอดี และแม้ว่าจากวันที่ทาง Ride ได้ยุบวงครั้งนั้นผ่านไปมาหลายสิบปี แต่ทุกครั้งที่หยิบอัลบั้มของทางวงมาเปิด เสน่ห์และมนต์ขลังของทางวงก็ยังมีอยู่เช่นเดิม
1 “Leave Them All Behind” - Going Blank Again (1992)
Leave Them All Behind เป็นซิงเกิ้ลความยาวแปดนาทีที่ปล่อยออกมาในเดือนกุมภาพันธ์ปี 92 และอีกทั้งเป็นเพลงเปิดอัลบั้ม Going Blank Again เพลงนี้ถือเป็นการเดินทางจากริฟออร์แกนเกริ่นนำไปจนเสียงริฟกีตาร์ที่สร้างความรู้สึกถึงความเร่งด่วนและความตื่นเต้น เพลงนี้มีส่วนจังหวะการขับเคลื่อนที่ยอดเยี่ยม และเป็นตัวอย่างสำคัญของเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของ Ride โดยเน้นที่เนื้อสัมผัส ทำนอง และบรรยากาศมากกว่าโครงสร้างเพลงป๊อบแบบดั้งเดิม
Andy Bell เคยพูดถึงเพลงนี้แทนเพื่อนๆในวงเอาไว้ว่า “เรามีความมั่นใจและเชื่อมั่นในตัวเองว่า เพลงอย่าง Leave Them All Behind ล้วนมาจากความเชื่อที่จะคิดให้ใหญ่ขึ้น คิดให้ดียิ่งขึ้น และก้าวไปข้างหน้า แทนที่จะติดอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว”
ผมคิดว่าการเลือกเปิดอัลบั้มด้วยบทเพลงที่ความยาวขนาดนี้ พวกเขาทำให้ผู้คนในเวลานั้นรู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรที่แปลกใหม่ จึงไม่แปลกที่เพลงนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในเพลงโปรดของแฟนๆของวง และแม้แต่ทาง Ride เองก็มักจะเลือกเพลงนี้เป็นเพลงแรกที่เล่นในการแสดงสดอยู่บ่อยครั้ง
2 “Chelsea Girl” - OX4 The Best of Ride (2001)
Chelsea Girl เป็นเพลงแรกจากอีพีแรกที่ใช้ชื่อว่า Ride EP (1989) หลังจากทางวงได้เซ็นต์สัญญากลับตราแผ่นเสียงอย่าง Creation Records ของ Alan McGee McKee ซึ่งในค่ายเพลงในเวลานั้นมีวงดนตรีอย่าง The House of Love และ Boo Radleys ซึ่งวง Ride ได้เปิดตัวกับ EP ไตรภาค ซึ่งทั้งหมดนี้ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่งและประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์อีกด้วย Chelsea Girl เป็นเพลงบรรยากาศหนักแน่นและฉับไว เราได้ยินเลียงสับคอร์ดกีตาร์และเสียงเอฟเฟคซึ่งก่อให้เกิดเสียงกีตาร์หมุนวน (Swirly) จำได้ว่าผมรู้สึกตื่นเต้นและหลงรักเพลงนี้มากๆเมื่อได้ยินครั้งแรก ผมชอบพลังและความทะเยอทะยานของเพลงนี้ ในขณะเดียวกันแทร็กสุดท้ายของ EP ที่เรียกว่า “Close My Eyes” ก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน บรรยากาศของเพลงมีความช้าและเนิบกว่า Chelsea Girl และมีซาวด์ที่ทำฟังแล้วรู้สึก trippy ผมชอบเสียงรีเวิร์บที่ดิบและคลุมเครือที่ถูกสร้างขึ้นตลอด EP นี้ ซึ่งในภายหลังทั้งสองเพลงนี้ถูกเลือกให้ไปอยู่ในอัลบั้มรวมเพลงชุดแรกของทางวงที่ชื่อว่า Smile (1990)
3 “Dreams Burn Down” - Nowhere (1990)
เป็นบทเพลงที่มีบรรยากาศล่องลอยที่เปิดตัวครั้งแรกใน Fall EP ตอนปี 1990 และถูกไปรวมอยู่ในอัลบั้มแรกของทางวงที่ชื่อ Nowhere ที่ออกในปีเดียวกัน เพลงนี้มีส่วนผสมของกีตาร์โปร่งและกีตาร์ไฟฟ้า โดยมีท่วงทำนองที่นุ่มนวล ซึ่งสร้างบรรยากาศที่เหมือนอยู่ในความฝันและไม่มีตัวตน เนื้อเพลงชวนให้นึกถึงความท้อแท้และความสูญเสีย โดยมีท่อนเช่น “Dreams burn down, love disintegrates” ซึ่งสื่อถึงโทนเศร้าโศกของแนวเพลงแบบ shoegaze อีกหนึ่งจุดเด่นของเพลงมาจากจังหวะการตีกลองที่ล้ำสมัยของ Loz Colbert
“Dreams Burn Down” เป็นเพลงที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถของ Ride ในการสร้างเพลงที่สะท้อนอารมณ์ที่เข้าถึงอารมณ์ของผู้ฟัง และเป็นอีกเพลงที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น Ride ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เป็นการวางรากฐานสำหรับอัลบั้ม 'Leave Them All Behind' ที่ถูกตามมาในอีกสองปีถัดไป
4 “Taste” - Nowhere (1990)
“Taste” เป็นอีกเพลงที่นำมาจาก Fall EP จากปี 1990 จัดว่าไฮไลท์ช่วงแรกๆของ Ride นี้เป็นหนึ่งในเพลงที่ยั่งยืนที่สุด สำหรับผมแล้ว Taste เป็นตัวอย่างที่สำคัญของซาวด์และเมโลดี้อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Ride โดยเน้นที่เนื้อสัมผัส ทำนอง และบรรยากาศมากกว่าโครงสร้างเพลงแบบดั้งเดิม
เพลงนี้มีส่วนจังหวะการขับเคลื่อนและเสียงกีตาร์ที่เรียงซ้อนซึ่งสร้างความรู้สึกถึงโมเมนตัมและความเร่งด่วน โดยมีท่อนเช่น “All I want is the taste that yourlips allowance” ที่ถ่ายทอดความหลงใหลและความปรารถนาอันแรงกล้า Taste นำเสนอเสียงร้องในสไตล์ที่ฟังแล้วชวนล่องลอยของ Mark Gardener และจังหวะดนตรีที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วโดดเด่น จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เพลงนี้จัดเป็นเพลงที่ชื่นชอบของแฟนๆ นับตั้งแต่เปิดตัว
5 “Vapour Trail” - Nowhere (1990)
อัลบั้มคลาสสิคของ Ride อย่าง Nowhere จะไม่มีทางสมบูรณ์ได้หากไม่มีเพลงปิดท้ายอัลบั้มอย่าง Vapour Trail บรรยากาศที่งดงามจากซาวด์ดนตรีของเพลงนี้เป็นตัวบรรยายให้เห็นถึงความหมายที่อยู่เบื้องหลัง artwork ของปกอัลบั้มที่เป็นภาพของคลื่นมหาสมุทรที่ไม่มีที่สิ้นสุด
Vapour Trail เปิดเพลงด้วยความเบลอของคอร์ดกีตาร์ 12 สาย การแต่งเพลงที่เรียบง่ายและโรแมนติก เป็นอีกหนึ่งเพลงที่สมบูรณ์แบบเพลงหนึ่งที่ผมฟังแล้ว ไม่มีความรู้สึกที่อยากจะเปลี่ยนแปลงส่วนไหนของเพลงเลยแม้แต่น้อย Nowhere เป็นอัลบั้มที่ถูกสื่อและนักวิจารณ์ยกย่องตั้งแต่ออกจำหน่ายใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของบรรยากาศ psychedelic ที่ฟุ้งกระจายและเมโลดี้ที่งดงามตลอดอัลบั้ม ในปี 2003 PitchforlMedia ได้ list อัลบั้ม Nowhere เป็นหนึ่งใน 100 อัลบั้มที่ดีที่สุดของยุค 90s และมีการนำเสนอในหนังสือ 1001 Albums You Must Hear Before You Die
6 “Twisterella” - Going Blank Again (1992)
Twisterella เป็นแทรคลำดับที่สองจากอัลบั้ม Going Blank Again ที่ออกมาในปี 1992 สิ่งแรกที่ควรทราบเกี่ยวกับ Twisterella ก็คือ นี่ไม่ใช่ shoegaze แต่เป็นเพลง jangle pop หรือ power pop ที่ชัดเจนตรงไปตรงมา แม้เพลงสไตล์นี้อาจจะไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับวง แต่เป็นสิ่งหนึ่งที่คิดว่า Mark Gardener ต้องรับผิดชอบในการขายทำนองที่ติดหูมากขึ้นอีกเล็กน้อย
ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับเพลงทำงานได้ดีมาก เนื้อเพลงบทกวีเกี่ยวกับสถานบันเทิงยามค่ำคืนในลอนดอน ท่อนเบสไลน์ที่สวยงาม เสียงสับคอร์ดบนกีตาร์ Rickenbacker ที่ฟังแล้วสดชื่น รวมไปถึงท่อนส่งกลองที่ลื่นไหลจาก Oz Colbert ที่เขาน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากฮีโร่ของเขาอย่าง Keith Moon จาก The Who มาเต็มๆ แม้แต่ตัวมิวสิควีดีโอขาว-ดำที่ดูแล้วเหมือนตั้งใจทำออกมาให้ดูคล้าย footage การแสดงสดของ The High Numbers (The Who) ที่ the Railway Hotel จากยุคปี 1964 ยังไงอย่างงั้นเลย
Twisterella เป็นอีกบทเพลงที่ Ride โชว์ให้แฟนเพลงเห็นว่าแม้เพลงส่วนใหญ่ของทางวงจะเป็นงานในแนวทางของดนตรีทดลอง แต่เมื่อไหร่ที่พวกเขาคิดอยากจะเปลี่ยนแปลง คนเหล่านี้ก็ยังสามารถเขียนเพลงป๊อปชั้นดีออกมาได้เช่นกัน
7 “Mouse trap” - Going Blank Again (1992)
แทรคที่ห้าจาก Going Blank Again เพลง Mousetrap เป็นเพลงค่อนข้างที่จะถูกประเมินต่ำเกินไปในแค็ตตาล็อกเพลงของ Ride ทั้ง ๆ ที่เพลงนำเสนอทุกจุดเด่นสุดคลาสสิกของ Ride และยกระดับด้วยโปรดัคชั่นการบันทึกเสียงที่ซับซ้อนหลายชั้น
มีเพลงที่เปิดด้วยเสียงสับคอร์ดกีตาร์ที่ฉับไว ดนตรีพุ่งทะยาน เสียงร้องไพเราะ เบสที่หนักแน่นของ Steve Queralt จังหวะที่คล่องแคล่วของ Loz Colbert และทั้งหมดนี้รวมกันเป็นเพลงที่ไม่ยอมอ่อนข้อที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยทำออกมา ความเร่งรีบของจังหวะดนตรี บวกกับเมโลดี้ที่งดงาม ให้ความรู้เสมือนที่คุณได้รับเมื่ออยู่บนเครื่องเล่นแนวรถไฟเหาะบนสวนสนุกที่รวดเร็ว คุณยกแขนสองข้างขึ้นต้อนรับลมที่ตีเข้ามาทั้งสองข้างทาง เป็นความงดงามบางอย่างที่ที่คุณอยากจะกลับไปฟังซ้ำอีกครั้งทันทีเมื่อเพลงจบลง ใครที่เป็นแฟนเพลงวงอินดี้ไทยอย่าง พราว และเพลง “เพราะฉันมีเพียงเธอ” ก็น่าจะหลงรักเพลงอย่าง “Mousetrap” ได้ไม่ยากเช่นกัน
8 “OX4” - Going Blank Again (1992)
OX4 จัดว่าเป็นเพลงโปรดส่วนตัว ที่ผมเลือกมาเปิดอยู่บ่อยๆเวลานึกอยากฟังวง Ride เพลงนี้มีส่วนผสมของกีตาร์โปร่งและกีตาร์ไฟฟ้า และซินธิไซเซอร์ โดยมีท่วงทำนองที่นุ่มนวลและเศร้าโศกซึ่งสร้างบรรยากาศที่สะท้อนความรู้สึกและชวนฝัน เนื้อเพลงชวนให้นึกถึงสถานที่และเวลาที่หายไปแล้ว โดยมีท่อนคำว่า “I miss the feeling” ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อถ่ายทอดธรรมชาติของความหลังที่แสนหวานและขมขื่น
ชื่อเพลงอ้างอิงถึงรหัสไปรษณีย์ของอ็อกซ์ฟอร์ดที่สมาชิกวงเติบโตและก่อตั้งวง ช่วยเพิ่มสัมผัสส่วนตัวให้กับเนื้อเพลงที่โหยหา “OX4” เป็นเพลงที่โดดเด่นและแสดงให้เห็นถึงความสามารถของ Ride ในการสร้างเพลงที่มีบรรยากาศเฉพาะตัวและสะท้อนอารมณ์ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของผู้ฟัง ไม่ว่าคุณจะได้ฟังเพลงนี้ในเวอร์ชั่นที่เป็นอินโทรแบบสั้นหรือยาวก็ตาม OX4 ก็ยังฟังแล้วยอดเยี่ยมเสมอ
9 “How Does It Feel To Feel” - Carnival of Light (1994)
ในช่วงท้าย ๆ ปี 1993 เป็นช่วงเวลาที่กระแส Britpop เริ่มได้รับความนิยม และเป็นช่วงเวลาที่เหล่าวงดนตรีแนว Shoegaze เริ่มเสื่อมความนิยม วงมากมายอาจตัดสินใจยุบวงหรือปรับเปลี่ยนแนวดนตรีของพวกเขา
ในอัลบั้มที่สามของ Ride ที่ใช้ชื่อว่า Carnival of Light ที่ออกในปีถัดมาเป็นอัลบั้มที่แสดงให้เห็นว่าแม้แต่ Ride เองก็ถอยห่างออกจากซาวด์ Shoegaze และหันไปหาแนวดนตรีที่เป็น root ของทางวงอย่างพวกคลาสสิคร็อคจากยุค 60s แทน และวงดนตรีอเมริกันอย่าง The Byrds ก็น่าจะเป็นแม่แบบที่สำคัญของการทำเพลงใน Carnival of Light
ไดนามิกหลักของทางวงในช่วงนั้นเปลี่ยนไปมาระหว่างแนวร็อคคลาสสิกของ Andy Bell และแนวดนตรีทดลองของ Mark Gardener เนื่องมาจากความขัดแย้งในเรื่องของทิศทางในอนาคตของทางวงเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งที่นำไปสู่จุดจบของทางวงในปีถัดไปหลังจากอัลบั้มสุดท้ายอย่าง Tarantula
“How Does It Feel To Feel” ไม่ใช่เพลงที่ถูกแต่งโดยทั้งสอง แต่เป็นเพลง cover ของวง The Creation แต่ Ride นำมันมาปัดฝุ่นใหม่และใส่ความหนักแน่นและซาวด์ที่เข้มข้นเข้าไป ผลที่ได้คือเพลง rock and roll ดิบ ๆ ที่เต็มไปด้วยฟี้ดแบค และการร้องที่ออกอารมณ์ยียวน จะว่าไปแล้ว How Does It Feel To Feel ของ Ride ฟังดูคล้ายซาวด์เพลงร็อคของวง Oasis มาก ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่ในอีกไม่กี่ปี Andy Bell ก็ตอบรับจากชักชวนจากพี่น้อง Gallagher ในการเป็นมือเบสคนใหม่ของ Oasis แทน
10 “Crown of Creation” - Carnival of Light (1994)
หากจะเรียกเพลง Crown of Creation เป็นงานเดี่ยวของ Andy Bell ก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะนี่เป็นเพลงที่ Andy เหมาหมดตั้งแต่ แต่งเพลง เรียบเรียง และเล่นเครื่องดนตรีเกือบทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นกีตาร์ เปียโน และออร์แกน Crown of Creation เป็น jangle pop ในแบบที่เราคุ้นหูจากดนตรีของ The Byrds
ที่จริงแล้วแฟนเพลงดั้งเดิมหลายคนในเวลาเริ่มไม่เข้าใจในทิศทางดนตรีในรูปแบบใหม่ของ Ride บางคนไม่สามารถยอมรับความจริงที่ว่า Ride เริ่มให้ความสนใจเกี่ยวกับท่วงทำนองมากขึ้น และน้อยลงเกี่ยวกับแป้นเหยียบเอฟเฟกต์ของพวกเขา ทำให้มองข้ามบทเพลงดีๆจาก Carnival of Light ไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่อัลบั้มนี้มีบทเพลงที่ดีที่สุดของ Ride อยู่มากมายไม่ว่าจะเป็น “1,000 Miles”, “From Time to Time” หรือ “Only Now”