Japanese Breakfast กลับมาพร้อม ‘Jubilee’ อัลบั้มชุดใหม่ที่เฉลิมฉลองการก้าวผ่านสำคัญในชีวิต

Japanese-Breakfast-Jubilee-_-Press-Pic-Credit-to-Peter-Ash-Lee.jpeg

หลังจากที่ศิลปินสาวสัญชาติเกาหลี-อเมริกันใช้เวลาห้าปีที่ผ่านมาเยียวยาความเศร้าจากการสูญเสียแม่ด้วยการทำเพลงในผลงานก่อนหน้า การกลับมาครั้งนี้เธอได้ก้าวผ่านความโศกเศร้าและพร้อมส่งมอบความสุขอันบริสุทธิ์ผ่านอัลบั้ม Jubilee ซึ่งถือเป็นไมล์สโตนสำคัญของ Michelle Zauner หรือที่ทุกคนรู้จักเธอในนาม Japanese Breakfast

ย้อนกลับไปปี 2016 เธอทำ Psychopomp เดบิวต์อัลบั้มออกมาเพื่อเล่าผ่านความทุกข์ในขณะที่แม่ของเธอกำลังต่อสู้กับโรคมะเร็ง อัลบั้มนี้ดึงเอาความดิบของความรู้สึกที่มนุษย์คนหนึ่งจะต้องเผชิญเมื่อดำดิ่งอยู่ในช่วงเวลาที่ตกต่ำ มันมีทั้งเรื่องความเศร้า หัวใจที่แหลกสลาย และการมีเพศสัมพันธ์เข้ามาเกี่ยวข้อง หนึ่งปีให้หลัง เธอทำใจยอมรับการสูญเสียใน Soft Sounds From Another Planet กับซาวด์ที่ค่อนไปทางซีนอินดี้ร็อกจากเมืองบ้านเกิดรัฐออริกอน และการทดลองใหม่ๆ ในแนว experimental อย่างในเพลง “Machinist” เพื่อเป็นการปิดฉากการสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาเธอได้ตีพิมพ์หนังสือบันทึกประสบการณ์ชีวิตภายใต้ชื่อ Crying In H Mart

จะเห็นได้ว่าทั้งสองอัลบั้มมีเมโลดี้และการเรียบเรียงในเพลงจำนวนหนึ่งที่ดูเหมือนปกคลุมไปด้วยเมฆฝนที่ทั้งมืดและหดหู่ แต่หลังเมฆหนาย่อมมีแสงสว่าง “สำหรับฉัน ฉันว่าอัลบั้มชุดที่สามควรจะมีอารมณ์ร่าเริง รื่นหู ฉันเลยงัดความสามารถออกมาทั้งหมด ฉันอยากกลับไปสัมผัสความสนุกที่บริสุทธิ์ในการทำเพลงอีกครั้ง” การกลับมาในครั้งนี้เธอเตรียมตัวมาดี เพราะหลังจากที่อัลบั้มปี 2017 ถูกปล่อยออกมา เธอตัดสินใจเรียนเปียโนและทฎษฎีดนตรีเพื่อให้เธอเข้าถึงการทำเพลงในระดับมืออาชีพมากขึ้น ในอัลบั้ม Jubilee เธอมีส่วนช่วยในการแต่งและจัดเรียงซาวด์เครื่องสายและเครื่องเป่า จากแรงสนับสนุนของเพื่อนร่วมวง/โคโปรดิวเซอร์ Craig Hendrix “ฉันไม่เคยอยากจะหยุดอยู่กับแค่ความสำเร็จในอดีต ฉันอยากผลักดันตัวเองให้ถึงที่สุด ชวนคนนู้นคนนี้มาร่วมแจม และผลักดันตัวเองในฐานะนักแต่งเพลง โปรดิวเซอร์ และนักเรียบเรียง”

ประเดิมกันด้วยเพลงสไตล์ฟังก์ยุค 80s “Be Sweet” ซิงเกิลแรกจากอัลบั้มที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อสามเดือนก่อน ซึ่งเป็นเพลงที่เธอร่วมแต่งขึ้นกับ Jack Tatum หัวเรือวง Wild Nothing ไม่กี่ปีที่แล้ว แทรกนี้ได้หยิบเอาความขี้เล่นของเมโลดี้ เนื้อร้อง และแนวทางการเล่นมากจากเหล่าตัวแม่ในวงการเพลงอย่าง Janet Jackson, Madonna และ Whitney Houston ประกอบกับมิวสิควิดีโอที่เธอเป็นผู้ดูแลการผลิตเอง โดย Zauner และ Marisa Dabice จากวง Mannequin Pussy รับบทคู่หูนักสืบไล่ตามหามนุษย์ต่างดาว ที่ดูแล้วทำให้นึกถึงซีรี่ส์ไซไฟเรื่อง The X-Files

ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงกับ “Posing In Bondage” ซิงเกิลถัดมาที่มีซาวด์ฟังดูว่างเปล่า สิ้นหวัง และดาร์กกว่าแทรกอื่นๆ ในอัลบั้ม ตั้งแต่เริ่มเพลงเมโลดี้ได้ถูกบิวท์ขึ้นไปเรื่อยๆ รับขานกับเนื้อร้องอันเปราะบางเกี่ยวกับความซับซ้อนของความสัมพันธ์แบบรักเดียวใจเดียว “Can you tell I’ve been posing / This way alone for hours? / Waiting for your affection / Waiting for you / Done up and drunk / Done up and fixed on / All of the nights you turned away my touch” จนมาถึงจุดไคลแมกซ์ด้วยเสียงซินธิไซเซอร์คล้ายเครื่องมือโลหะที่กระทบกันดังกังวาน

หลังจากที่ได้ดูมิวสิควิดีโอของ “Posing In Bondage” หลายๆ คนอาจจะงงว่า Zauner โผล่มาจากไหน ทำไมเธอถึงมีเลือดอาบปาก ไปอย่างไรมาอย่างไรเธอถึงได้ไถโฮเวอร์บอร์ดเข้าไปในร้านสะดวกซื้อที่ว่างเปล่าและแชร์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับพนังงาน ในซิงเกิลล่าสุดนี้มีคำตอบไว้ให้หมดแล้ว “Savage Good Boy” เป็นแทรกที่จับมือร่วมกันทำกับ Alex Giannascoli ศิลปินมากความสามารถ โดยที่เพลงเริ่มขึ้นมาด้วยจังหวะ upbeat บวกกับโวคอลเอฟเฟคซิกเนเจอร์ของ Alex G แถมมิวสิควิดีโอก็ยังได้ดารารับเชิญรุ่นเก๋าจากซีรี่ส์สืบสวนสอบสวนเรื่อง The Sopranos อย่าง Michael Imperioli มาร่วมแสดงอีกด้วย ในส่วนของแรงบันดาลใจเบื้องหลังแทรกนี้มาจากพาดหัวข่าวเกี่ยวกับมหาเศรษฐีกว้านซื้อหลุมหลบภัย Zauner จึงใส่สตอรีไลน์ที่ว่าชายร่ำรวยหลอกล่อหญิงสาวให้ลงไปอยู่ในหลุมหลบภัยเสริมลงไป

นอกจากทั้งสามเพลงนี้ที่ถูกปล่อยออกมาเป็นพรีวิวแล้ว Jubilee ยังอัดแน่นอีกด้วยเจ็ดเพลงที่เธอการันตีเลยว่าผู้ฟังจะไ้ด้สัมผัสกับความท่วมท้นของอารมณ์และความรู้สึกต่างๆ อัลบั้มเปิดฉากมาอย่างแข็งแกร่งด้วยพลังบวกในแทรก “Paprika” ก่อนจะผันเปลี่ยนไปเป็นอารมณ์โหยหาของ “Kokomo, IN” รู้ตัวอีกทีก็ติดอยู่ในวังวนความสิ้นหวังจากแทรก “In Hell” ก่อนที่จะจบอย่างอิสระและมีความหวังด้วยท่อนกีต้าโซโล่ในเพลง “Posing for Cars”

เมื่อเปรียบเทียบกับสองอัลบั้มก่อน สไตล์เพลงในอัลบั้มนี้ให้ความรู้สึกและประสบการณ์ใหม่ๆ แก่ผู้ฟัง มันเป็นการเจริญเติบโตทั้งในทางชีวิตและทางสายอาชีพของ Zauner นอกจากนี้แฟนเพลงยังสามารถคาดหวังที่จะเห็นเธอทำผลงานแนวต่างๆ ให้เราได้ฟังกันในอนาคตอย่างแน่นอน “ฉันคิดว่าในอัลบั้มหน้าฉันอยากจะถ่ายทอดสิ่งที่ไร้กาลเวลาออกมา เพราะตอนนี้ฉันค่อนข้างอยากจะมุ่งหน้าไปทำสิ่งที่มีความคลาสสิก ไม่แน่ฉันอาจจะใส่กลิ่นอายคันทรีลงไปด้วยก็ได้นะ”

LISTEN ON SPOITFY