88 RISING - NEW SINGLE - “CALIFORNIA”
อย่างที่รู้กันว่า “California” เป็นเพลงใหม่ล่าสุดที่เป็นส่วนหนึ่งใน Head In The Clouds คอมไพเลชั่นโปรเจคของค่าย 88rising ซึ่งมันเป็นการคอลแลปส์ที่น่าสนใจระหว่าง Rich Brian, NIKI และน้องใหม่อย่าง Warren Hue พวกเขาเป็นศิลปินต่างสไตล์ แต่สิ่งที่พวกเขามีร่วมกันคือแพชชั่นในการทำเพลงในฐานะนักดนตรีชาวอินโดนีเซีย
ทางค่ายได้ทำการจัด press conference ขึ้นมาเมื่อวันก่อนเพื่อพูดถึงแรงบันดาลใจในการทำซิงเกิลนี้ รูปแบบของมิวสิควิดีโอ รวมไปถึงประสบการณ์และมุมมองสุดยูนีคของแต่ละคนที่มีต่อแคลิฟอร์เนีย โดยมี Oliver Zhang จากค่าย 88rising เป็นพิธีกรดำเนินรายการ
เรามาพูดถึงเพลง “California” กันก่อนเลย การคอลแลปส์นี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ได้แรงบันดาลใจมาจากไหน
Brian: แรกเริ่มเลย เพลงนี้เป็นแค่เพลงบรรเลง จากนั้นเราก็แยกย้ายกันแต่งในส่วนของตัวเอง ผมก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่า NIKI กับ Warren ได้ยินส่วนไหนของเพลงมา สำหรับผม ผมไม่ได้ฟังส่วนของใครเลย เพราะอย่างนั้นมันก็เลยเหมือนกับผมเขียนขึ้นมาสดๆ เลย
ผมว่าเราทุกคนก็พูดถึงประสบการณ์ในมุมมองของตัวเองกับการที่ย้ายมาอยู่แคลิฟอร์เนียในฐานะที่ไม่ใช่คนที่นี่แต่ในฐานะคนอินโดนีเซีย
NIKI: พวกเราแยกกันเขียนเพลงนี้ ตอนใกล้จะเสร็จแล้วเราถึงจะมาเจอกัน ตอนนั้นพวกเราชอบเพลงนี้ และอีกอย่างทุกคนก็ยังมีท่อนคอรัสเป็นของตัวเองด้วย ซึ่งมันแตกต่างออกไป มันก็สนุกดีนะ
Warren: ใช่ พวกเรานำชิ้นส่วนของตัวเองมารวมกัน แล้วมันก็ออกมาดีมาก พวกเราต่างสนุกกับการทำเพลง มันเป็นธรรมชาติและงดงามมาก
Brian กับ NIKI เคยคอลแลปส์ด้วยกันมาก่อนหลายครั้งแล้ว การทำ “California” ร่วมกันในครั้งนี้มีกระบวนการแต่งต่างจากครั้งอื่นๆ อย่างไร และการที่ได้เห็นการเติบโตของซึ่งกันและกันนั้นเป็นอย่างไร
NIKI: ฉันว่าเราเคยทำเพลงด้วยกันมาน่าจะน้อยกว่าห้าเพลงนะ ฉันก็จำไม่ได้เหมือนกัน เอาจริงๆ การทำงานร่วมกันครั้งนี้ก็ไม่ได้ต่างจากครั้งก่อนๆ เพราะทุกครั้งที่เราคอลแลปส์กัน เราก็แยกกันทำส่วนของตัวเอง เพลงนี้ไม่ได้ต่างไปจากตอนที่ทำเพลง “Shouldn’t Couldn’t Wouldn’t” เลย ตอนนั้นฉันเขียนส่วนของฉันแล้วก็ส่งไปให้เขาแต่งต่อ
Brian: กำลังจะพูดเหมือนกัน เราไม่เคยอยู่ที่เดียวกันตอนเขียนเพลงเลย ผมก็เขินๆ แหละ คือผมว่ามันเจ๋งมากๆ เลยที่ได้เห็นพวกเราเติบโตในฐานะศิลปิน หลังจากที่เราย้ายมาในโลกของลอสแอนเจลิส มาอยู่ในค่ายเดียวกันในเวลาใกล้ๆ กัน ตอนนั้นเรายังเป็นเหมือนเบบี๋อยู่เลย เราได้เจอกับอะไรเหมือนๆ กัน อย่างการที่เราก็ใหม่กับเมือง ได้พบปะผู้คนใหม่ๆ มากมาย การพักอาศัยใน Airbnb เป็นต้น จากวันนั้นก็ผ่านมาประมาณ 4-5 ปีแล้ว เราก็ทำเพลงของตัวเอง และประสบความสำเร็จ กว่าจะมาถึงตรงนี้มันก็มีทั้งขึ้นและลง เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลง การเติบโตขึ้นจากตรงนั้น
NIKI: ใช่ มันเจ๋งมากเพราะเราย้ายมาแอลเอเวลาใกล้ๆ กัน ปีเดียวกัน มันดีมากที่มีคนอินโดนีเซียด้วยกันอยู่ คนที่ฉันสามารถพูดภาษาอินโดนีเซียด้วยได้ ช่วยกันนำทางแนวการใช้ชีวิตในแอลเอ เพราะฉะนั้น Brian เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของฉันที่นี่เลยล่ะ
กลับไปพูดถึง “California” ตอนที่พวกเราแต่งมีพาร์ทไหนที่รู้สึกพิเศษสำหรับตัวเองบ้าง
Warren: ส่วนที่ผมชอบคือพวกเราทั้งสามคนมีความแตกต่างกัน ซึ่งมันเป็นการสร้างความสมดุลระหว่างสามศิลปินที่มีความยูนีคเป็นของตัวเอง Brian ก็มีสไตล์ของเขา NIKI ก็มีสไตล์ของเธอ พวกเราต่างหยิบเอาความเป็นตัวของตัวเองมารวมกัน สำหรับผมนั่นคือสิ่งที่น่าสนใจที่สุด มันวิเศษมากเลย
NIKI: ตอนที่ฉันได้ยินทำนองครั้งแรก ฉันก็รู้สึกว่ามันพิเศษและแตกต่าง ฉันว่าฉันเป็นคนแรกที่เริ่มเขียนมันนะ ฉันได้เขียนไปสองท่อน มันเหลือเชื่อมากเลยในการคอลแลปส์ อารมณ์ของเพลงมันเปลี่ยนไปเลยเมื่อเราต่างก็หยิบส่วนของตัวเองใส่เข้าไป ท่อนแรกที่ฉันแต่งไปได้ถูกเอาออก เพราะมันไม่เข้ากับท่อนของอีกสองคน ฉันเลยต้องเขียนใหม่ มันเป็นการลองผิดลองถูกที่สนุกดี
Brian: อย่างที่ผมได้พูดไป ผมไม่รู้เลยว่าพาร์ทของ NIKI และ Warren เป็นอย่างไร และผมก็ไม่รู้ส่วนประกอบของเพลงด้วย ตอนเขียนผมก็เลยเขียนไปเหมือนทุกที มันน่าทึ่งมากพอได้ยินส่วนของทุกคนรวมกัน โดยเฉพาะแนวทางที่ท่อนของผมผสมกับท่อนของ NIKI เสริมกัน ซึ่งมันดีกว่าที่คิดไว้มากๆ และนั่นคือพาร์ทที่ผมชอบ
ทุกคนมองคำว่าคำว่าแคลิฟอร์เนียอย่างไรก่อนและหลังที่จะได้ย้ายมาอยู่ในอเมริกา
Warren: คำว่าแคลิฟอร์เนียสำหรับผมแล้ว ตอนโตขึ้นมาผมดูหนังกับพ่อแม่เยอะมาก มันทำให้ผมเห็นถึงความเป็น American Dream ของที่นี่ เมื่อผมได้มาอยู่จริงๆ มันเป็นความรู้สึกที่เหนือจริงมาก พวกภูเขา ต้นปาล์ม ทุกอย่างเลยที่เป็นส่วนประกอบของแคลิฟอร์เนีย ซึ่งผมว่ามันน่าสนใจมาก มันทำให้ผมมีชีวิตชีวามากที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้วได้สัมผัสสิ่งพวกนี้ทุกวัน ผมถือว่ามันเป็นบทหนึ่งของชีวิตที่ผมจะนึกถึงไปตลอด
NIKI: ทีแรกฉันไม่ได้วางแผนจะย้ายมาที่นี่ เพราะก่อนหน้านี้ฉันเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ที่แนชวิลล์ ฉันว่าการมาอยู่ที่นี่เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้น ตอนฉันอยู่ปีหนึ่งฉันก็เริ่มปล่อยเพลงกับ 88rising ฉันต้องไปกลับแอลเอแนชวิลล์อยู่บ่อยๆ มันก็น่าจะดีกว่าถ้าย้ายมาอยู่ที่นี่เลย ตั้งแต่นั้นมาฉันก็อาศัยอยู่ที่นี่ ฉันชอบอากาศและที่อยู่ของฉัน ซึ่งมันก็เจ๋งดี
Brian: สำหรับผมแล้ว ผมอยากจะมาแคลิฟอร์เนียมาโดยตลอด ผมจำได้ว่าเมื่ออายุ 16 ปี ผมก็ได้ทำงานกับ 88rising แล้ว แต่ตอนนั้นยังอยู่อินโดนีเซียเพราะยังไม่มีวีซ่ามาที่นี่ และอีกอย่างคือตอนนั้นผมได้ดู La La Land มันน่าชื่นชมมาก ผมรู้สึกได้ถึงหนังเรื่องนี้ ผมรู้สึกว่าความฝันของผมเป็นความจริงได้ พอตอนนี้ได้อยู่ที่นี่แล้ว มันยังคงตื่นเต้นอยู่ ผมได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ ทุกวัน
จุดตกต่ำอะไรที่พวกเราได้พบเจอในการมาอยู่ที่นี่ และพวกเรามีวิธีแก้อย่างไร
Warren: สำหรับผมคือการบาลานซ์ชีวิตตัวเอง เพราะผมมาอยู่ที่นี่ได้สักพักแล้ว บางครั้งก็คิดถึงบ้าน ผมคิดถึงวัฒนธรรมของอินโดนีเซีย การที่ได้มาเจอกับสิ่งใหม่ในทุกๆ ทางมันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่สำหรับผม ผมเลยคิดว่ามันยากที่จะบาลานซ์ความสัมพันธ์กับเพื่อนและครอบครัวที่บ้านเกิด บ่อยครั้งที่ผมรู้สึกไม่มีเพื่อนหรือไม่รู้จักใครในอเมริกา แต่นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งในการเจอผู้คนใหม่ๆ ผมก็ยังคงเรียนรู้ไปเรื่อยๆ
NIKI: ฉันว่าจุดตำ่สุดคือปี 2020 คือฉันก็มีปัญหาอยู่บ้างตั้งแต่เป็นศิลปินมา แต่พอมาเจอโรคระบาดมันเลยทำให้ปัญหาพวกนั้นเด่นชัดขึ้น ซึ่งมันก็ทำให้ฉันคิดได้ว่าการแสดงตัวตนสู่สาธารณะมันสำคัญขนาดไหนในสายงานนี้ บางครั้งมันก็ทำให้เครียด การที่มีคนติดตามเยอะ มีคนแปลกหน้ามากมาย คนที่ไม่เคยคุยกันมาก่อนก็เข้ามาตัดสินฉันกัน มันน่าสนใจที่ได้เห็นเพราะฉันเป็นคนค่อนข้างส่วนตัว พอเจออย่างนี้เข้าไปก็เลยทำให้ช็อค แต่ฉันว่ามันก็เป็นข้อเสียของการเป็นศิลปินในสมัยนี้ ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันฟังดูไม่พอใจนะ เพราะฉันรู้สึกปลื้มใจมากที่ได้มาอยู่ตรงนี้ ซึ่งฉันเอาชนะปัญหานี้โดยการค่อยๆ หาวิธีไป และทำตัวให้อยู่ในมาตรฐานของความเป็นมนุษย์ เพราะเราต่างก็เป็นคนด้วยกันทั้งนั้น เราต่างมีข้อผิดพลาด และพยายามไม่ต้องทำตัวเองให้สมบูรณ์แบบ
Brian: คำตอบของผมคล้ายๆ กับทั้งคู่เลย ปีนี้ผมได้เปลี่ยนมุมมองของผมไปอย่างมาก จากที่เป็นคนชอบไล่ตามความฝัน ผมเคยมีความคิดที่ว่าผมสามารถทำได้ทุกอย่างถ้าตั้งใจจะทำ ซึ่งมันก็เป็นมายเซ็ทที่ดีแต่ก็ต้องดูด้วยว่าจุดประสงค์และแรงผลักดันมันคืออะไร ตอนผมเริ่มแรกผมอยากจะดัง อยากประสบความสำเร็จ อยากเป็นที่นิยมเท่าที่จะทำได้ แต่ผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงอยากเป็นแบบนั้น เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่ผมปล่อยเพลง ผมมักจะหวังว่าให้มันดัง พอเพลงต่อไปผมก็ต้องมานั่งคิดว่าจะทำยังไงให้ดังกว่าเดิม ความคิดแบบนั้นมันส่งผลลบต่อผมมากๆ ถ้าย้อนไปตอนอายุ 14-15 จุดที่ผมอยู่คือจุดที่ผมพอใจมากๆ แต่ตอนนี้ผมกลับไม่มีความสุข มันทำให้ผมคิดว่าทำไมผมถึงมาทำตรงนี้ ซึ่งมันทำให้คิดได้ว่าผมมาทำเพราะรักมันจริงๆ ไม่มีใครบังคับ ผมว่าบางครั้งมันก็ทำให้เราลืมไปเพราะมัวแต่ไปหมกมุ่นกับความเป็นที่นิยม การเห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำจึงสำคัญมากๆ ในการไต่เต้าขึ้นไปในระดับต่างๆ เพราะมันไม่มีจุดสิ้นสุด เพราะฉะนั้นการให้ความสำคัญต่อชีวิตหรือเพื่อนจึงเป็นสิ่งที่ควรทำ ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมมีการเข้าถึงการทำเพลงในแบบที่ดีขึ้น และผมพอใจกับสิ่งต่างๆ ที่ทำ
แรงบันดาลใจของมิวสิควิดีโอตัวนี้
Warren: ผมอยากนำเสนอวัฒนธรรมของเอเชียในแคลิฟอร์เนีย โดยเฉพาะในซานเกเบรียล หลักๆ เลยมันก็เป็นวิดีโอที่อบอุ่น มันแสดงให้เห็นถึงเรื่องราววัฒนธรรมต่างๆ ของที่นี่ บวกกับการที่พวกเราเป็นคนอิโดนีเซีย เราเลยใส่วัฒนธรรมของเราเข้าไปเช่นขนมของอินโดนีเซีย มันเป็นการถ่ายทำที่สนุกมาก ดูย้อนยุคเพราะพวกเราถ่ายด้วยฟิล์ม ซึ่งมันทำให้ดูเหมือนหนัง และผมก็ภูมิใจกับมันมากๆ ผมว่าพวกผมทำเพลงนี้ออกมาได้เยี่ยมมาก
NIKI: ไอเดียของวิดีโอมาจากการที่เราอยากโชว์ให้เห็นลักษณะของวัฒนธรรมเอเชียในต่างถิ่น พวกเราไม่ใช่คนเอเชียน-อเมริกัน พวกเราสามคนเป็นคนอินโดนีเซียที่ย้ายมาที่นี่ แต่เราก็มีเพื่อนคนเอเชียน-อเมริกันที่เกิดที่นี่ ทุกคนมีพื้นภูมิที่ต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือเราเป็นคนเอเชียในอเมริกา ฉันว่าเรื่องราวของทุกคนมันคาบเกี่ยวกัน ฉากที่ฉันชอบคือฉากที่พ่อและลูกชายเล่นโยนบอลกันในโรงรถ มันแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งในการเห็นภาพพ่อลูกชาวเอเชียเล่นโยนบอลซึ่งเป็นวัฒนธรรมต้นแบบของอเมริกา นอกเราจะนำเสนอวัฒนธรรมบ้านเกิดของเราทั้งสามแล้ว ในวิดิโอมันยังมีภาพเรื่องราวต่างๆ ของการเป็นคนเอเชียในแคลิฟอร์เนียอีกมากมาย
ในวิดีโอมีแง่มุม nostalgic ที่รับกับเพลงได้ดี ตอนที่ร้องเพลงพวกเราได้นึกถึงช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตในแคลิฟอร์เนียกันหรือเปล่า
Brian: เพลงนี่มันน่าสนใจมาก เพราะมันพูดเกี่ยวกับสิ่งดีๆ ในแคลิฟอร์เนีย แต่ก็มีสิ่งแย่ๆ เหมือนกัน ซึ่งผมว่ามันเจ๋งดี เห็นได้ว่าผู้คนมักจะเชิดชูแคลิฟอร์เนีย มันก็เป็นที่ที่ ดีจริงๆ แต่เราก็ต้องมองหลักความจริงด้วย
ท่อนที่ผมร้องว่า “Yeah, you made it, you've been anxious / But you made it, California” อย่างที่ผมได้พูดไปก่อนหน้าถึงความกดดันในอุตสาหกรรมนี้ พวกเราก็ยังเด็ก เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราได้เผชิญมันคูณสิบเข้าไปเลย ความกดดันมากมาย ผู้คนที่ต้องพบปะมากมาย รวมไปถึงการวางตัวในแต่ละสถานการณ์ ซึ่งผมว่ามันสร้างความวิตกอย่างมาก ผมจำได้ว่าตอนที่มาอยู่ที่นี่ใหม่ๆ ผมกระวนกระวายใจอย่างมาก แต่ผมก็ผ่านมันมาได้ มันก็แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าสถานการณ์มันจะลำบากแค่ไหนเราก็จะผ่านมันไปได้
Warren: ท่อนของผมแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ผมเจอในขณะนี้เพราะผมเพิ่งจะมาอยู่แคลิฟอร์เนีย เนื้อเพลงของผมพูดเกี่ยวกับแคลิฟอร์เนียโดยทั่วๆ ไป ไม่ได้มีอะไรเจาะจงที่ทำให้ผมนึกถึง แต่มันเกี่ยวกับบทชีวิตของผม นั่นคือการเป็นนักดนตรีในแคลิฟอร์เนีย และการที่ผมมองแคลิฟอร์เนีย
NIKI: ไม่ได้อยากทำให้เสียอารมณ์แต่เรื่องของฉันมันค่อนข้างเศร้า อย่างที่ Brian พูดว่าการอยู่ที่นี่มันมีทั้งด้านดีและไม่ดี ท่อนที่ฉันร้องว่า “Oh, Maria, the hills are swarmin' with dead ends” เป็นท่อนที่ฉันสื่อถึง Maria จากเรื่อง The Sound of Music เพราะเธอร้องว่า “The hills are alive with the sound of music” และนั่นก็คือสิ่งที่ฉันอยากรายงานให้คุณ Maria ทราบว่าหุบเขาพวกนั้นมันตายด้านและไม่มีชีวิตชีวาแล้ว ซึ่งมันมีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับตรงนั้น ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งฉันไปงานปาร์ตี้เมื่อตอนย้ายมาแคลิฟอร์เนียแรกๆ ฉันไปอยู่หลังเวทีของโชว์หนึ่ง เสียงมันดังมากๆ แต่ก็ทำให้รู้สึกแปลกแยกในเวลาเดียวกัน และมันทำให้ฉันคิดถึงอินโดนีเซีย เพราะฉันไม่รู้ว่าฉันจะเข้ากับที่นี่ได้ไหม หลังจากนั้นฉันนั่งรถ Uber และมันขับขึ้นไปบนเนินเขา ฉันก็เริ่มร้องไห้ออกมา ด้วยความที่ความฝันและความเป็นจริงมันแตกต่างกัน แต่ดนตรีมันก็เกี่ยวกับชีวิตในหลายๆ ด้านอยู่แล้ว และนั่นคือเรื่องที่สร้างแรงบันดาลใจให้ท่อนนั้น
Brian: ผมแค่อยากจะพูดว่างานปาร์ตี้มันแปลกขึ้นเรื่อยๆ เมื่อคุณขึ้นไปที่ที่อยู่สูงขึ้นเนินเขาไปเรื่อยๆ
NIKI: ใช่เลย ยิ่งสูงยิ่งแปลก
พวกเราทั้งสามก็เหมือนเป็นต้นแบบให้เด็กเอเชียมากมายในโลกนี้ มีคำแนะนำอะไรให้พวกเขาไหม
Brian: ผมว่าอย่าไปโฟกัสเพียงแค่ความต้องการที่จะทำสิ่งที่โด่งดัง แต่ให้มุ่งไปในการทำผลงานที่ดีที่สุด ถ้าคุณทำเพลง ก็ให้โฟกัสเกี่ยวกับคอนเซ็ปต์โดนๆ พวกวิชวลต่างๆ ถึงมันจะไม่ดังตอนนี้ แต่สักวันหนึ่งมันจะดัง ผลงานของคุณจะหาหนทางไปพบกับผู้ฟังเอง
Warren: อาจจะฟังดูซ้ำซากไปหน่อย แต่คุณต้องเป็นตัวของตัวเอง จริงๆ นะ มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้คุณมีความสุข อย่าลองทำสิ่งอื่นแม้คุณจะคิดว่ามันจะทำให้คุณไม่ดูแปลกแยก แค่ทำในสิ่งที่คุณชอบ ถ้าคนอื่นไม่ชอบก็ช่างมัน เพราะในท้ายที่สุดแล้วคุณแค่ทำในสิ่งที่คุณพอใจ ทำไปเลยอย่าไปกลัว
NIKI: ใช่เลย ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ฉันได้เรียนรู้คือทุกเพลงมีลักษณะที่มีร่วมกัน นั่นก็คือคุณ งานอาร์ตของคุณคือตัวคุณ ผู้คนจะหันกลับมาชื่นชมงานของคุณเพราะมันคือตัวคุณ อย่าไปพยายามจะเป็นคนอื่นเลย อย่าไปเปรียบเทียบด้วย อย่าเสียเวลาไปเป็นคนอื่นแค่เพราะผู้คนกลับไปฟังผลงานของพวกเขาเพราะว่ามันคือตัวตนของพวกเขา แค่รอผู้ฟังกลับมาหาคุณเพราะตัวตนของคุณ
การนำเสนอคนเอเชียในวงการสื่อมีอิทธิพลต่อศิลปินหน้าใหม่ที่เดินรอยตามพวกคุณอย่างไร
Brian: มันสำคัญมากๆ ความเจ๋งของการทำเพลงอยู่ตรงที่เมื่อผมคิดย้อนกลับไปแล้ว การที่ผมกำลังทำเพลง ร้องเพลงอยู่นั้น เมื่อมันถูกปล่อยออกไปคนฟังต่างๆ รวมไปถึงเด็กที่หน้าตาเหมือนกับผมก็จะมีความรู้สึกเชื่อมโยงถึงเรื่องราว ตอนโตมาผมไม่มีอะไรพวกนี้เลย ผมไม่มีคนเอเชียให้ดูเป็นแบบอย่างเลย คนส่วนมากไม่นำเสนอคนเอเชียในแบบของคนปกติ พวกเขาให้บทบาทเจาะจงกับคนเอเชีย เมื่อคุณเห็นแบบนั้นคุณก็จะคิดว่านั่นคงจะเป็นตัวคุณ ตอนนี้ผมก็เลยอยากจะเป็นตัวเองอย่างที่จะเป็นได้ เพื่อที่เด็กคนอื่นจะได้รู้ว่าพวกเขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้
NIKI: พวกเขาควรให้คนเอเชียมีความซับซ้อนกว่านี้เพราะทุกวันนี้บริบทมันค่อนข้างแคบและแสดงให้เห็นเพียงด้านเดียว และการที่มีพวกเราอยู่ พวกเราที่เป็นตัวของตัวเองในพื้นที่แห่งนี้ แค่นั้นก็บอกสิ่งสำคัญได้มากมายแล้ว ดูอย่าง Warren สิ เขาใส่เสื้อสีส้ม ใส่สร้อย นี่คือตัวตนของ Warren ผมทรงนี้ด้วย มันแสดงให้เห็นว่านี่คือมนุษย์คนหนึ่ง เช่นเดียวกันกับ Brian และฉัน ฉันว่ามันคือข้อความที่เด็กชาวเอเชียทุกคนต้องการรับฟัง การเป็นอะไรก็ได้ที่ใจอยาก ฉันเห็นโพสต์ทวิตเตอร์โพสต์หนึ่ง มันเป็นโพสต์รีทวีตที่มีเด็กเอเชียน่ารักคนหนึ่งนั่งอยู่หน้าทีวี เลียนแบบเรื่องย่อ Shang-Chi หนังของ Marvel เด็กคนนั้นต่อยขึ้นไปในอากาศพร้อมพูดใส่บทบาท เขาทำเหมือนเขาเป็นฮีโร่ ฉันว่าการที่เราได้เห็นการนำเสนอแบบตัวเป็นๆ แบบนี้บนจอหนัง มันมีพลังมากๆ สำหรับเด็ก มันทำให้คุณเห็นว่าคุณสามารถเป็นอะไรได้บ้าง
Warren: ผมว่าเราไม่ควรลิมิตแค่สิ่งเดียว เราต้องแสดงออกถึงความเป็นตัวเอง พวกเราแค่อยากจะนำเสนอเพลง นำเสนอตัวตนของของคนเอเชีย ไม่ใช่ถูกจำกัดแค่ว่าเป็นคนเอเชีย
NIKI: ใช่ พวกเราบางคนก็สอบตกวิชาคณิตนะจะบอกให้
เวลาที่รู้สึกสมองตันมีวิธีอย่างไรที่จะเอาชนะตรงนั้นไปได้
NIKI: ปล่อยวาง อาชีพของเราสามารถสร้างความกดดันให้เราได้ในบางเวลา บางครั้งคุณก็ติดพันคุณค่าของความเป็นมนุษย์ในตัวคุณกับสิ่งที่คุณสามารถสร้างขึ้นมาและผลงานที่คุณมี และนั่นมันไม่ใช่ความคิดที่ถูกเกี่ยวกับตัวตนของคุณ นั่นแหละ แค่ปล่อยวาง ไปหาหนังดู ออกไปเที่ยวกับเพื่อนกับครอบครัว หาของอร่อยๆ กิน และเมื่อความคิดมันจะมามันก็มาเอง
Warren: แค่รู้ไว้ว่ามันโอเคที่จะคิดงานไม่ออก มันไม่ได้หมายความว่าคุณไม่มีความสามารถ แค่ความคิดมันยังไม่แล่นเท่านั้นเอง
NIKI: และมันก็ไม่ได้หมายความว่าคุณทดถอยด้วย เพราะบางครั้งฉันคิดงานไม่ออก ฉันจะรู้สึกว่าตัวเองฝึกซ้อมไม่ดีพอ ดังนั้นฉันเลยรู้สึกว่ากำลังทดถอย ฉันทำสิ่งที่ฉันควรจะทำได้ดีไม่ได้อีกแล้ว แต่นั่นมันไม่ใช่เลย มันก็เหมือนกับการขี่จักรยาน คุณไม่เคยลืมวิธีการขี่ ฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างนี้กันทุกคนไหม แต่ฉันมั่นใจว่ามันเป็นความทรงจำของกล้ามเนื้อ
Brian: ผมว่าเมื่อคุณรีบร้อนทำให้เสร็จ มันจะยิ่งยื้อเวลาออกไปอีก แทนที่จะหยุดพักคุณกลับคิดว่าคุณต้องผลิตผลงานออกมา คุณจะไม่พัฒนาในฐานะศิลปินเลย เพราะเมื่อคุณเร่งรีบบางอย่างมันเหมือนกับคุณผลิตสิ่งผลงานในระดับที่มากจนเกินไป จนถึงจุดนั้นมันก็เหมือนคุณหยิบผลงานออกมารีไซเคิล พอผมเจอทางตันผมก็ใช้เวลาหยุดพักเหมือนกัน เช่นเดียวกับที่ NIKI พูด เมื่อคุณพัฒนาทำผลงานจนไปถึงจุดๆ หนึ่งแล้ว พอคุณหยุดแล้วกลับมาทำใหม่ มันไม่ใช่ว่าคุณจะกลับไปเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่ต้น และอีกอย่างเมื่อคุณหายไปสักพักผู้คนก็จะคิดถึงคุณ พอคุณกลับมามันจะยิ่งพิเศษเลยล่ะ
ช่วงเวลาหรือเหตุการณ์เกี่ยวกับซึ่งกันและกันที่ทำให้นึกถึงการทำงานร่วมกัน
NIKI: ฉันว่าการทัวร์รอบประเทศเป็นอะไรที่บ้ามาก ฉันพูดถึงการทัวร์ของศิลปินใน 88rising น่ะ การที่ทุกคนอยู่ในที่เดียวกันทุกวัน ท่องเที่ยวประเทศไปด้วยกัน ทำความใกล้ชิดกันมันสนุกมากๆ ฉันไม่เคยลืมการปิดโชว์ในแต่ละครั้ง ที่ทุกคนไปร้องเพลงอยู่บนเวทีด้วยกัน มีเวลาสนุกๆ ร่วมกัน ฉันจะไม่ลืมทัวร์แรกนั้นเลย
Brian: เห็นด้วย ตอนที่เรากำลังทัวร์อยู่ ผมว่ามันสนุกมาก มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตอนที่เราเริ่มมาทำตรงนี้กันใหม่ๆ ด้วยเนอะ ในหัวของผมก็คิดว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น เราจะมีทัวร์แบบนี้อีกมากมาย แต่เราก็ยังไม่มีเลย ผมหวังว่าเราจะมีทัวร์แบบนั้นอีก ตอนนั้นมันสนุกจริงๆ แนวการแต่งตัวของผมก็ห่วยสุดๆ ด้วย
Warren: ผมเพิ่งเข้ามาในช่วงโควิด เรายังไม่มีโอกาสได้ไปทัวร์เลย มันคงจะเป็นอะไรที่น่ากลัวสำหรับผม แต่ผมรู้สึกว่าแค่ได้ทำความรู้จักกับคนใน 88rising ก็รู้สึกพิเศษมากแล้ว และผมก็ตั้งตารอจะออกไปสร้างความทรงจำกับทุกคนในอนาคตด้วย